Welcome to T.H.N-Guidance ยินดีต้อนรับสู่...งานแนะแนวโรงเรียนถาวรานุกูล จังหวัดสมุทรสงคราม

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เคล็ดลับ 10 ประการพิชิต Admission

1. สร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง
: น้องๆ ต้องมองโลกในด้านบวกให้กับสิ่งที่น้องๆ ต้องการและตั้งใจแน่วแน่ในการกระทำเพราะข้อสอบไม่ว่าจะยากเท่าไหร่ก็ไม่ยากเกินความพยายาม

2. ประเมินความสามารถของตัวเอง
: น้องๆ ต้องพิจารณาว่าคณะวิชาที่น้องเลือกนั้น น้องมีพื้นฐานความรู้ในวิชาที่จะใช้สอบมากน้อยเพียงใด การแข่งขันของคณะวิชานั้นสูงแค่ไหน และประเมินจากเวลาที่เหลือที่น้องๆ จะใช้ในการเตรียมตัวว่าพอเพียงหรือไม่

3. แบ่งเวลาในการดูหนังสือ และกิจกรรมต่างๆ ให้ลงตัว
: เวลาผ่านไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับมาได้น้องๆ ต้องพยายามแบ่งเวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ให้เหมาะสมโดยให้เวลากับอ่านหนังสือเป็นหลัก แต่ก็ต้องไม่ลืมที่จะผ่อนคลายโดยการออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่น้องๆ ชอบด้วย

4. วางแผนจัดการชีวิตให้ลงตัว
: ข้อนี้จะคล้ายกับการแบ่งเวลาแต่จะลงรายละเอียดเยอะกว่าโดยน้องๆ จะต้องวางแผนการดำเนินชีวิตในแต่ละวันว่าจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในเป้าหมายที่น้องตั้งเอาไว้

5. เอาชนะตัวเอง
: ข้อนี้เป็นข้อที่ยากที่สุด เพราะถ้าน้องๆ เอาชนะตัวเอง เอาชนะความเกียจคร้าน สร้างวินัยให้กับตนเอง สร้างกำลังใจให้กับตัวเองไม่ได้ น้องๆจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เลย

6. ขจัดความกังวลออกไป
: เมื่อน้องๆ เริ่มลงมือเตรียมตัวเพื่อสอบต้องตัดความกังวลที่มีอยู่ออกไปให้หมด อย่ากังวลถึงอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้น อย่าคิดว่าทำไม่ได้ น้องๆต้องคิดว่าเมื่อมีความพยายาม ต้องมีความสำเร็จ

7. ทำตัวให้สนุกกับการอ่านหนังสือ
: อย่ามองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ให้มองว่าเป็นเรื่องที่สนุกสนานทำให้เราประเทืองปัญญา ทำให้เราเป็นคนที่รอบรู้ สามารถเข้าสังคมได้อย่างไม่อายใครและเป็นที่ยอมรับในอนาคต


8. ให้รางวัลกับตัวเองบ้าง
: รางวัลในที่นี้คงไม่ได้หมายถึง เงินทอง เพชรพลอย แต่หมายถึงการทำกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย กิจกรรมที่ทำแล้วสบายใจ เช่นการร้องคาราโอเกะ ดูหนัง ฟังเพลง

9. สร้างสิ่งแวดล้อมให้เป็นแรงกระตุ้น
: อาจจะทำได้โดยการรวมกลุ่มกันอ่านหนังสือกับเพื่อนๆ เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนความคิดและทบทวนในสิ่งที่เรากำลังอ่าน นอกจากจะทำให้เราอยากอ่านหนังสือแล้วยังทำให้เราประเมิณตัวเองได้อีกว่ายังต้องพยายามมากขึ้นอีกแค่ไหน


10. ให้โอกาสตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
: ทางเลือกในการเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยมีอยู่มากมาย ทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐบาล และเอกชนถึงน้องจะพลาดหวังจากทางเลือกนึงก็ยังที่ทางเลือกอื่น

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ก่อนสอบ รับตรง Admissions 2555

1 ม.6 สามารถ สอบ  GAT-PAT ได้กี่ครั้ง
ตอบ  B สอบได้  2 ครั้งคือสอบ  เดือน ตุลาคม 2554 และ  มีนาคม 2555
 2  คุณสามารถสอบ  O-NET ได้กี่ครั้ง
ตอบ   ในแต่ละคนสามารถสอบ O-NET ได้เพียงครั้งเดียวนะครับ
 3  สอบตรงติดไปแล้ว นะ  ไม่สอบ  O-NET ได้ไหม  เพราะไม่ได้ใช้คะแนนยื่นแอดแล้ว
ตอบ   สอบ O-NET สอบได้แค่ครั้งเดียวนะครับ  คนที่ติดรับตรงแล้ว ไม่จำเป็นต้องสอบก็ได้ แต่ยังไงก็แนะนำให้สอบ  เพราะปีหน้าถ้าเกิดอยากซิ่วขึ้นมานี่ น้องจะไม่มีคะแนน onet จะยื่นแอดไม่ได้เลย   หรือ บางคนเข้าสอบก็จริงแต่กามั่ว  มีคนมาเล่าให้ผมฟังหลายคนแล้วครับว่าติดรับตรงแล้ว ไม่ตั้งใจทำโอเน็ต แต่พอเข้าเรียน เกิดไม่สอบคณะที่เรียน อยากเปลี่ยน พอลงแอดคะแนนน้อย ก็สู้เขาไม่ได้ ทั้งที่คะแนน GAT-PAT ของเขาดีมาก แต่ O-NET ไม่ไหวจริง
อ่อ และ บางมหาวิทยาลัยใช้  O-NET ภาษาอังกฤษแบ่งเด็กด้วยนะครับ ว่าคนไหนต้องเรียนปรับพื้นฐาน  คนไหนข้ามไปเรียน วิชาภาชาภาษาอังกฤษในระดับที่สูงได้เลย  เช่น เกษตรศาสตร์ ธรรมศาสตร์  บางมด
 4  ติดรับตรง แล้วสอบรับตรงมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ได้ ไหม
ตอบ  ความจริงแล้ว ถ้าติดรับตรงไปแล้ว ยังสมัคร มหาวิทยาลัยอื่น ๆได้นะครับ  แต่ก็จะมีหลายมหาวิทยาลัย ขู่มา
 http://blog.eduzones.com/showpic.php?url=http://files.unigang.com/pic/2229.jpg
 แต่ความจริงแล้ว การตรวจสอบเป็นเรื่องยาก  ยิ่งตรวจสอบข้ามมหาวิทยาลัย ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยครับ
สำหรับ รับตรง  มหาวิทยาลัย รัฐ  24 แห่ง ตัดสิทธ์แอดมิชชั่น  มีรายชื่อดังต่อไปนี้
1. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
3. มหาวิทยาลัยขอนแก่น
4. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
5. มหาวิทยาลัยทักษิณ
6. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
7. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
8. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
9. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
10. มหาวิทยาลัยนครพนม
11. มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์
12. มหาวิทยาลัยนเรศวร
13. มหาวิทยาลัยบูรพา
14. มหาวิทยาลัยพะเยา
15. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
16. มหาวิทยาลัยมหิดล
17. มหาวิทยาลัยแม่โจ้
18. มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
19. มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
20. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
21. มหาวิทยาลัยศิลปากร
22. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
23. มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
24. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
นอกเหนือ มหาวิทยาลัยนี้ จะไม่ตัดสิทธ์ แอดมิชชั่น นะครับ   มหาวิทยลัยเอกชน หรือ ราชภัฎ หรือ ราชมงคล บางแห่ง ที่ให้ทุนเด็ก จะขู่เด็กว่าจะตัดแอดมิชชั่น  แต่ความจริงแล้ว พวกเขาตัดสิทธ์ไม่ได้นะครับ

5  รับตรง กับ  รับตรงกลาง  ต่างกันอย่างไร
รับตรง โควตา  คือ การรับนักศึกษา โดยแต่ละมหาวิทยาลัย จะเป็นคนดำเนืนกลางเอง
รับตรงกลาง   คือ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ  จะ รับสมัครรับศึกษาร่วมกัน

6  เด็กซิ่ว  O-NET ไม่ถึง 60 %  สอบ กสพท ได้ไหม

ขอยื่นยันว่าได้แน่นอนครับ  เพราะเกณฑ์   O-NET 60 ใช้กับเด็ก ม.6 ในรุ่นนั้น ๆ  เพื่อให้เด็กเหล่านั้นตั้งใจไม่ทิ้งคะแนน ONET    ปีล่าสุด  มีเด็กได้คะแนนต่ำกว่า 60 %  14 คนนะครับ  
ความคิดเห็นจากเพื่อน ๆที่ส่งมาให้ผม
พอดีว่าเพือนผมคนนึงก็อยู่ใน 14 คนที่โอเนตไม่ถึงอ่ะ ครับ เค้าก้อไม่ได้อนุโลม จึงอยากทราบว่าถ้าสอบติดแล้วโอเนตไม่ถึง เค้าจะให้ติดไหมครับ
ขอบคุณครับ

 

7 แค่สอบสัมภาษณ์ ตัดสิทธ์ แอดมิชชั่นด้วย หรอ ??
มหาวิทยาลัยอื่น ๆ รอบสอบสัมภาษณ์จะไม่ตัดสิทธ์แอดมิชชั่นนะครับ  แต่ บางคณะ รอบสอบสัมภาษณ์จะตัดสิทธ์ แอดมิชชั่นทันที  ( ถ้าสอบไม่ติด ก็ไม่ถูกตัดนะนะครับ )  แต่พวกที่สอบติดแล้วไม่เอา แล้วทำเรื่องสละสิทธ์ภายหลังไม่ได้นะครับ  เพราะมหาวิทยาลัยจะให้เซนต์ใบยื่นความจำนงตัดสิทธ์แอดมิชชั่น ตั้งแต่วันไปสอบสัมภาษณ์ด้วย แหะ ๆ ๆๆ    
โดยอาจารย์ ให้เหตุผลว่า ต้องการเด็กที่ อยากเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย มหิดลเท่านั้น !!  ไม่อยากให้เด็กเพื่อเลือก มากันที่คนที่อยากเรียนจริง !!

8  สอบสัมภาษณ์สำคัญแค่ไหน !!??
ถ้าเป็นรับตรง ถือว่ามีความสำคัญ เหมือนกัน นะครับ แต่ปัจจัยหลัก ๆ ที่การคัดเลือกมาจากคะแนนเป็นหลักนะครับ
ถ้าแอดมิชชั่น  โอกาสติดก็มีสูงมากถึง 99.99 % แล้วนะครับ  แต่ปีล่าสุดก็มีเหตุการณ์  เด็กซิ่วอยากย้ายสาขา แต่เจออาจารย์ .............. http://www.unigang.com/Article/7128

เทคนิคสอบสัมภาาณ์  http://unigang.com/Article/234  แนะนำให้อ่าน Comment หน้าแรก ๆ นะ

9 วิศวะ ใช้  PAT1 และ PAT3  หรือ ใช้   PAT2 และ  PAT3 กันแน่
อยากจะบอกว่าใช้ ทั้ง  PAT1  PAT2  และ  PAT3 เลยครับ  เพราะว่าถ้ารอบรับตรง  มหาวิทยาลัยต่างจะใช้  PAT1 และ  PAT3 ในการคัดเลือก แต่รอบแอดมิชชั่น  จะใช้  PAT2 และ  PAT3  ดังนั้นแล้ว  ใครอยากเข้าวิศวะควรจะเข้าสอบ  PAT1  PAT2 และ  PAT3

10  อยากเป็นพยาบาล  ทหารบก ทหารอากาศ ทหารเรือ และ พยาบาลตำรวจ ต้องทำอย่างไร
ทั้งหมดนี้ รับสมัครช่วง มกราคม นะครับผม โดยใช้ คะแนน  GAT-PAT2 และ O-NET ในการคัดเลือก ให้น้องทำคะแนนสอบ  GAT-PAT ให้ดีแล้วรอยื่นได้เลย

11  รับตรงหลังแอด มีไหม
มีครับ แต่มีไม่กี่คณะมีไม่กี่มหาวิทยาลัย และส่วนใหญ่จะเป็นภาคพิเศษ ค่าเทอมแพงกว่ากปกติ 2 เท่า >...<  ขอยกตัวอย่างเช่น   เกษตรศาสตร์  ขอนแก่น  เชียงใหม่  สงขลานครินทร์ แม่ฟ้าหลวง แต่เปิดแค่บางคณะ

ขอขอบคุณข้อมูลดีจาก  http://www.sjb.ac.th/upyear54/edu_sjb/21%20-6-%2054.htm

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554



มารู้จักกับ "โลจิสติกส์"
            โลจิสติกส์ (Logistics) เป็นคำที่มาจากภาษากรีกแปลว่า ศิลปะในการคำนวณในสมัยโบราณ รวมทั้งในสมัยปัจจุบัน มีการกล่าวถึง การส่งกำลังบำรุงทางทหาร และการประสบชัยชนะ หรือความพ่ายแพ้ในสงครามโดยอาศัยความเข้มแข็ง หรือความอ่อนแอของสมรรถนะในเชิงโลจิสติกส์
            คำนิยามที่ใช้นิยามการจัดการโลจิสติกส์ในระดับสากลนั้นจะเป็นคำนิยามจาก The Council of Logistics Management (CLM) ซึ่งได้ให้คำนิยามการจัดการด้านโลจิสติกส์ไว้ว่า
กระบวนการในการวางแผน ดำเนินการ และควบคุมประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการไหล การจัดเก็บวัตถุดิบ สินค้าคงคลังในกระบวนการ สินค้าสำเร็จรูป และสารสนเทศที่เกี่ยวข้องจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดที่มีการใช้งาน โดยมีเป้าหมายเพื่อสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค
นอกจากนั้นแล้ว Logistix Partners Oy, Helsinki, Fl ให้คำนิยามโลจิสติกส์ธุรกิจว่า
โครงสร้างของการวางแผนทางธุรกิจ สำหรับการบริหารจัดการกับวัตถุดิบ การบริการการไหลของข้อมูล และเงินทุน ซึ่งรวมถึงข้อมูลที่มีความซับซ้อน การติดต่อสื่อสาร และกระบวนการควบคุม ให้ตรงกับความต้องการในสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจปัจจุบัน

            พันธกิจของการบริหารโลจิสติกส์ คือ การวางแผนการดำเนินงานและประสานการดำเนินงานในกิจกรรมต่างๆที่มุ่งบรรลุผลในด้านการตอบสนอง ความต้องการของลูกค้า โดยการนำเสนอบริการและคุณภาพในระดับที่เหนือกว่า ด้วยต้นทุนการดำเนินงานที่สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำนิยามที่เกี่ยวข้อง วิศวกรรมโลจิสติกส์ (Logistics Engineering)
โลจิสติกส์แบบย้อนกลับ (Reverse Logistics)
• Production Logistics
• Consumer Logistics
• Third Party Logistics
• Global Logistics

บทบาทของโลจิสติกส์
โลจิสติกส์เป็นกุญแจสำคัญในระบบเศรษฐกิจสองแนวทาง คือ
โลจิสติกส์เป็นรายจ่ายที่สำคัญสำหรับธุรกิจต่างๆ และจะส่งผลกระทบและได้รับผลกระทบจากกิจกรรมอื่น ในระบบเศรษฐกิจ การปรับปรุงประสิทธิผลของกระบวนการด้านโลจิสติกส์ จะส่งผลโดยตรงต่อการปรับปรุงสภาพเศรษฐกิจโดยรวมให้ดีขึ้นได้
โลจิสติกส์ได้รองรับการเปลี่ยนแปลงและกระบวนการของธุรกรรมทางเศรษฐกิจ และได้กลายเป็นกิจกรรมสำคัญในด้านการสนับสนุนการขายเสมือนหนึ่งเป็นสินค้าและบริการด้วย
โลจิสติกส์เป็นการเพิ่มอรรถโยชน์ทางด้านเวลาและสถานที่ โดยให้มีการนำสินค้าที่ลูกค้าต้องการเพื่อบริโภคหรือเพื่อการผลิตไปยังสถานที่ที่ต้องการ ในเวลาที่ต้องการ ในสภาพที่ต้องการ และในต้นทุนที่ต้องการ
พัฒนาการจัดการโลจิสติกส์ พัฒนาการของโลจิสติกส์ในช่วงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1900 เป็นต้นมา อาจสรุปได้ดังนี้

โลจิสติกส์ด้านการทหาร
โลจิสติกส์เริ่มเป็นที่รู้จักในครั้งแรกสืบเนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามอ่าวเปอร์เซีย ในความสามารถการกระจายและจัดเก็บยุทธภัณฑ์และกำลังพลอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เป็นกุญแจสำคัญในชัยชนะของกองทัพสหรัฐในครั้งนั้น
การแข่งขันที่รุนแรง
จากการที่อัตราดอกเบี้ยและต้นทุนด้านพลังงานสูงขึ้น โลจิสติกส์จึงได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น จากการที่โลจิสติกส์เป็นต้นทุน ในการดำเนินที่สำคัญตัวหนึ่ง ต้นทุนจากโลจิสติกส์จึงเป็นสิ่งที่กำหนด ความอยู่รอดสำหรับหลายๆ องค์กร นอกจากนี้อุตสาหกรรมยุคโลกาภิวัฒน์ยังได้ส่งผลกระทบ ต่อโลจิสติกส์ในหลายแนวทางดังนี้
การแข่งขันระดับโลกที่มากขึ้น โลจิสติกส์เป็นตัวตัดสินเนื่องจากองค์กรภายในประเทศจะต้องเพิ่มความน่าเชื่อถือ และมีการตอบสนองที่รวดเร็วต่อตลาดที่อยู่ใกล้เคียงมากกว่าคู่แข่งที่อยู่ไกลออกไป
องค์กรที่ซื้อขายระหว่างคู่ค้า จะพบว่าโซ่อุปทานมีต้นทุนสูงและความซับซ้อนมากขึ้น การบริหารโลจิสติกสืที่ดีจึงมีความจำเป็นเพื่อสร้างโอกาสในการแข่งขันอย่างเต็มที่ทั่วโลก

กิจกรรมหลักในการจัดการโลจิสติกส์
กิจกรรมต่างๆ ที่อยู่ในขอบข่ายการกระบวนการโลจิสติกส์ ประกอบด้วย
งานบริการลูกค้า
การวางแผนเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งของอาคารโรงงาน คลังสินค้า
การพยากรณ์และการวางแผนอุปสงค์
การจัดซื้อจัดหา
การจัดการสินค้าคงคลัง
การจัดการวัตถุดิบ
การเคลื่อนย้ายวัตถุดิบ
การบรรจุหีบห่อ
การดำเนินการกับคำสั่งซื้อ
การขนของและการจัดส่ง
โลจิสติกส์ย้อนกลับ (อาทิเช่น การจัดการสินค้าคืน)
การจัดการกับช่องทางจัดจำหน่าย
การกระจายสินค้า
คลังสินค้าและการเก็บสินค้าเข้าคลัง
การจราจรและการขนส่ง
กิจกรรมการแปรรูปเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่
การรักษาความปลอดภัย
การเชื่อมประสานกันของกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้เพื่อบรรลุถึง ความร่วมมือกันในการวางแผน, การดำเนินการ, การควบคุมสินค้าและการบริการ และการไหลของข้อมูลผ่านองค์กรอย่างประสานสอดคล้องมีประสิทธิภาพ คือ สิ่งที่รู้จักกันทุกวันนี้ว่า โลจิสติกส์
            สรุปแล้ว การจัดการโลจิสติกส์ คือ กระบวนการจัดการและกระบวนการสารสนเทศ ที่ทำหน้าที่เป็นเสมือนแกนกลาง ในการแสวงหาแหล่งของวัตถุดิบและบริการ, การจัดหา, การเก็บสินค้าเข้าคลัง และการจัดส่งผลิตภัณฑ์ ที่ถูกต้องไปยังสถานที่ที่ถูกต้องในเวลาที่พอเหมาะ โดยมีการเก็บสินค้าคงคลัง, การสิ้นเปลืองเวลา ค่าใช้จ่าย, ความเพียรพยาม. และเงินทุน น้อยที่สุดเพื่อที่จะทำให้ลูกค้าพึงพอใจ อย่างมีประสิทธิผล


ที่มา : http://www.utcc.ac.th/engineer/logistics/logistic.htm

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พระอารมณ์ขันของพระเจ้าอยู่หัว

เรื่องเล่าจากข้าราชบริพาร และผู้ติดตามถวายงาน
แสดงถึงพระอัจริยภาพ และพระอารมณ์ขัน ของพระเจ้าอยู่หัวของเรา


ข้าวผัดไข่ดาว
โดย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล

วันหนึ่งเสด็จฯ เขาค้อเปิดอนุสาวรีย์ พอเปิดอนุสาวรีย์เสร็จพระองค์ท่านก็ขอกลับไปที่พระตำหนักเพื่อจะทรงเปลี่ยนฉลองพระบาทเพราะเดี๋ยวจะไปดูงานในป่าในดง.........เราก็ไม่ได้ทานข้าวไม่มีใครทานข้าวตอนนั้นบ่ายสองโมงแล้ว ก่อนจะเปลี่ยนฉลองพระบาทสักยี่สิบนาทีน่าจะพุ้ยข้าวทัน ก็รีบวิ่งไปห้องอาหารที่เตรียมไว้ ปรากฏว่าพวกที่ไม่ได้ตามเสด็จเขาทานกันหมดแล้ว ในนั้นจึงเหลือข้าวผัดติดก้นกระบะ กับมีไข่ดาวทิ้งแห้งไว้ 3-4 ใบ เราก็ตักเห็นมีข้าวอยู่จานหนึ่งวางไว้ มีข้าวผัดเหมือนอย่างเราไข่ดาวโปะใบหนึ่ง มีน้ำปลาถ้วยหนึ่งวางอยู่เพื่อนผมก็จะไปหยิบมามหาดเล็กบอกว่า "ไม่ได้ๆ ของพระเจ้าอยู่หัว ท่านรับสั่งให้มาตัก" ดูสิครับตักมาจากก้นกระทะเลย ผมนี่น้ำตาแทบไหลเลย ท่านเสวยเหมือนๆ กันกับเรา...... ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ


......................................

น้ำลดหรือยัง
โดย ถาวร ชนะภัย
หลายปีมาแล้วเมื่อครั้งน้ำท่วมภาคใต้ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลาได้รับผลกระทบหนักที่สุด เป็นช่วงเวลาที่การสื่อสารแห่งประเทศไทยได้นำเครื่องโทรพิมพ์มาติดตั้งที่ห้องทรงงานใหม่ๆ
ข้าราชสำนักท่านหนึ่งกรุณาเล่าให้ฟังว่าแม้ดึกดื่นเที่ยงคืนแล้วพระบาทสมเด็ จพระเจ้าอยู่หัว ก็ยังไม่เสด็จขึ้นห้องพระบรรทมแต่ทรงคอยติดตามข่าวเรื่องอุทกภัยที่หาดใหญ่ อยู่อย่างใกล้ชิด ด้วยทรงห่วยใยราษฏรจึงทรงส่งคำถามผ่านเครื่องโทรพิมพ์ด้วยพระองค์เองถามไปทา งหาดใหญ่ว่า


"น้ำลดแล้วหรือยัง"

โดยที่ไม่ทราบว่าผู้ส่งคำถามมานั้นคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คำตอบที่มีผ่านมาทางเครื่องโทรพิมพ์เมื่อเวลาตีสองตีสามมีข้อความที่ตอบ ด้วยความไม่พอใจว่า

"ถามอะไรอยู่ได้ดึกดื่นป่านนี้แล้วคนเขาจะหลับจะนอน" แต่ตอนท้ายของคำตอบก็ไม่ลืมที่จะบอกด้วยว่า "น้ำลดแล้ว"

...........................


ไม่ต้องกั้น
โดยดร.สุเมธ ตันติเวชกุล


มีอยู่ครั้งหนึ่งเสด็จฯ ไปที่เซ็นทรัลวันที่มีประชุมรัฐสภาโลก วันนั้นผมจำได้ผมติดอยู่บนท้องถนนฝนตกผมก็มีวิทยุเลยได้ยินรับสั่งมากับตำรวจมาเลย "วันนี้ไม่ต้องกั้นรถ"

ทรงเข้าใจความทุกข์ของราษฏรอยู่ตลอดเวลา วันนี้เป็นวันฝนตกรถติดกันอย่างมหาศาลถ้าขืนต้องไปติดขบวนอีกสร้างความ ทุกข์ให้กับประชาชน ทรงวิทยุบอกตำรวจว่า "ขบวนจะแล่นไปพร้อมกับรถของประชาชนไม่ต้องกั้นเคลื่อนที่ไปพร้อมกัน"

............................


ลุงวาเด็ง
โดย มนูญ มุกข์ประดิษฐ์

วันนี้ลุงวาเด็งพาแววตาที่เป็นประกายมาเฝ้าฟระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยชุดเต็มยศครึ่งท่อนคือสวมกางเกงตัวเดียวไม่สวมเสื้อ ไม่มีที่ไหนในโลกอีกแล้วที่สามัญชนคนธรรมดาไม่ว่าจะอยู่ในเสื้อผ้าอาภรณ์ใดๆ ก็มีสิทธิ์เท่าเทียมกันที่จะเข้าใกล้ชิดพระองค์ บอกเล่าความทุกข์สุขกับพระเจ้าแผ่นดินของเขาได้อย่างเสมอภาคกันถ้วนหน้า เช่นนี้.......

ลุงวาเด็งดีใจที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาถึงหน้าบ้าน จึงเหลียวซ้ายแลขวา หลายครั้งผิดปกติในที่สุดก็ได้กราบบังคมทูลอย่างฉะฉานว่า

"พระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาทั้งทีไม่มีอะไรจะถวาย ผลไม้ในสวนเพิ่งเก็บขายไปได้เงินมาสองหมื่นบาท ก็นำเงินไปซื้อเครื่องปั๊มน้ำมาได้ 1 เครื่อง ถอดเอาขึ้นรถและขนไปเลย ขอถวายพระเจ้าอยู่หัว"

...........................


อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน เมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่งที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน
เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า
”ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวน พระพุทธเจ้าข้า.."
มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว..
พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า "มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว"
เรื่องนี้ ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง


...........................

มีเรื่องนึงเคยฟังจากผู้ใหญ่เล่าเมื่อนานมาแล้ว
มีช่างไปทำฝ้าเพดานในวัง คนนึงกำลังยืนบนบันได ส่วนหัวอยู่ใต้ฝ้า
อีกคนคอยจับบันไดอยู่ด้านล่าง พอดีในหลวงเสด็จมา
คนที่อยู่ข้างล่างเห็นในหลวงก็ก้มลงกราบ คนอยู่ด้านบนไม่เห็น ก็บอกว่า “เฮ้ย จับดีๆ หน่อยสิ อย่าให้แกว่ง”
ในหลวงทรงจับบันไดให้ เค้าก็บอกว่า “เออ ดีๆ เสร็จงานนี้จะให้เป็นช่างจริง” (สงสัยคงจะเพิ่งเข้ามาทำงานยังไม่ผ่านโปร) พอเสร็จก็ก้าวลง พอเห็นว่าในหลวงเป็นคนจับบันไดให้
ถึงกับเข่าอ่อน จะตกบันได รีบลงมาก้มกราบ
ในหลวงทรงตรัสกับช่างว่า “แหม ดีนะที่ชมว่าใช้ได้ แถมจะปรับตำแหน่งให้เป็นช่างอีกด้วย"


.............................

เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น
เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า "ไปบอกเค้านะ เราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"


.............................

เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน เพราะเรียนมาตั้งแต่เล็กแต่ไม่เคยได้ใช้เมื่อออกงานใหญ่จึงตื่นเต้นประหม่า ซึ่งเป็นธรรมดาของคนทั่วไป และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน หรือกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในพระราชานุกิจต่างๆนานัปการ ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ เคยเล่าให้ฟังว่า ด้วยพระบุญญาธิการและพระบารมีในพระองค์นั้นมีมากล้นจนบางคนถึงกับไม่อาจระงับอาการกิริยาประหม่ายามกราบบังคมทูล จึงมีผิดพลาดเสมอ แม้จะซักซ้อมมาอย่างดีก็ตาม
ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า
”ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ"
เมื่อคำกราบบังคมทูล ในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า "เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..."
ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัยเพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้


..............................

เรามีเรื่องเล่าเกี่ยวกับท่านให้เพื่อนๆ ฟังตั้งหลายเรื่อง วันนี้เริ่มเรื่องนี้ก่อนแล้วกันนะ เรื่องมีอยู่ว่า เหตุการณ์เมื่อปี 2513 วันนั้นท่านทรงเสด็จไปหมู่บ้านท้ายดอยจอมหด พร้าว เชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ไปแอ่วบ้านเฮา ท่านก็ทรงเสด็จ ตามเขาเข้าไปบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่และมุงหญ้าแห้ง เขาเอาที่นอนมาปูสำหรับประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจนมีคราบดำๆ จับ ทางผู้ติดตามรู้สึกเป็นห่วง เพราะปกติไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ จึงกระซิบทูลว่าควรจะทรงทำท่าเสวย แล้วส่งถ้วยมาพระราชทานผู้ติดตามจัดการเอง แต่ท่านก็ทรงดวดเอง กร้อบเดียวเกลี้ยง ตอนหลังทรงรับสั่งว่า "ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมด" ซึ้งไหมหล่ะ

...............................

เคยมีคนเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งพ่อหลวงทรงเสด็จไปทีตลาดสด ทรงแวะไปเสวยก๋วยเตี๋ยว แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว เห็นก็สงสัย จึงทูลถามท่านว่า
"ทำไมหน้า เหมือนในหลวงจัง?"
ท่านไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มๆ ทรงจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวแล้วตรัสชมว่าก๋วยเตี๋ยวอร่อย ส่วนแม่ค้ามารู้ที่หลังว่าเป็นท่านก็ได้แต่ปลื้ม


...............................

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงสูงมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า "ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า"

ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆกับอธิการบดีว่า "เรายังไม่ตาย ถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก"

................................

เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว ราษฎรผู้หนึ่งจึงกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า "ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์"
ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว"


.................................


80 เรื่องของในหลวงที่เราอาจไม่เคยรู้

80 เรื่องของในหลวงที่เรา(อาจ)ไม่เคยรู้
เมื่อทรงพระเยาว์
1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.
2.นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ มีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์
3.พระนาม"ภูมิพล"ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช
5.ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก
6.ทรงเคยเป็ นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า "H.H Bhummibol Mahidol"หมายเลขประจำตัว 449
7.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า"แม่"
8.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม
10.สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต
11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า"บ๊อบบี้"
12.ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำจะต้องลุกขึ้นบ่อยๆ
13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรอง 3 ที มากเกินไป 2ทีพอแล้ว
14.ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์ โดยในหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
15.ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก"การให้"โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า"กระป๋องคนจน"หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก"เก็บภาษี"หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
16.ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆเขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า"ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน"
17.กล้ องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
18.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง
19.พระอั จฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก"การเล่น"สมัยพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไร ต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับ พระชษฐาน ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
20.สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็น จิ๊กซอว์
21.ทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน)
22.ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษ า ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
23.ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
24.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงครั้งแรก เมื่อพระชนม์พรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ"แสงเทียน" จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
25.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง"เราสู้"
26.รู้ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5
27. - - - -
28.นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออก ฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
29.ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง"นายอินทร์"และ"ติโต" ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์แต่พระมหาชนก ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
30.ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และเรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น"กีฬาซีเกมส์")ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510
31.ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่งตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
32.ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ "กังหันชัยพัฒนา" เมื่อปี 2536
33.ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20ปีแล้ว
34.องค์การสหประชาชาติ ได้ถวาย รางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง
35.พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
36.รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า"น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่า รักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง
37.ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท
38.หลังอภิเษกสมรส ทรง"ฮันนีมูน"ที่หัวหิน
39.ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมืองวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน
40.ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
41.ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพง ต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น
42.เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา
43.พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ
44.พลอดยาสีพระทน ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม
45.วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรณคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้าแม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ ถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง
46.โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ
47.ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่งคือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ
48.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียว กระดาษที่จะนำมาให้ข้อราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
49.เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้อราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงม ีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน
50.ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
51.โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32, 866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห้นกันทุกวันนี้
52.เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
53.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า "ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ
54.ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน
ของทรงโปรด
55.อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
56.ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังช่าย
57.ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก
58.ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
59.เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง
60.ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก
61.ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที่ จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง
62.หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก
63.ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูดลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว
64.ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ
65.สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแด ง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว
รู้หรือไม่ ?
66.ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า "นายหลวง" ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง
67.ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน
68.อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า "ทำราชการ"
69.ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิสเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี
70.ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า"อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก"
71.ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด
72.หัวใจทรงเต้นไม่ปกติด ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี
73.รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์
74.ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน
75.ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.24 93 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน
76.ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
77.สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง
78.นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง ให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด
79 - - - -
80. พระราชประวัติในหลวง ฉบับการ์ตูน

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554



ปราการแห่งความรัก
เรื่องนี้เกิดขึ้นที่เวียดนามเป็นโศกนาฏกรรมแห่งความรัก
ที่บันทึกไว้ในข้อเขียนเรื่อง "เมตตาภาวนา คำสอนว่าด้วยรัก"
ของท่าน "ติช นัท ฮันท์ อ่านจบหลายครั้งก็ยังประทับใจ จึงอยากนำมาเล่าต่อ
ชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งเพิ่งแต่งงานกัน
ได้ไม่นาน  ฝ่ายชายก็ถูกเกณฑ์ไปราชการสงคราม
หญิงสาวไปส่งสามีจนสุดสายตา เขาหายไปในสงครามเป็นเวลา
กว่า 3 ปีจึงส่งข่าวคราวกลับมา...
Photo Sharing and Video Hosting at Photobucketเธอดีใจมากจูงมืออ้ายตัวเล็กไปรับผู้เป็นพ่อแต่เช้าตรู่
ทันทีที่พบกันทั้งสองโผเข้าหากัน สัมผัสไออุ่นจากกันและกัน
นิ่ง นาน  จนเกือบลืมไปว่ามีลูกชายตัวเล็กยืนจ้องตาแป๋วอยู่
ผู้เป็นพ่อดีใจมาก ยื่นมือไปหมายกอดลูกชาย...แต่เจ้าหนู
ถอยกรูด ....แม่ปลอบว่า "อย่าตกใจ  เจ้าหนูไม่เคยเห็นหน้า
พ่อมาก่อนก็เป็นเช่นนี้แหละ"ทั้งสามเดินกลับมาตามทางจนถึงตลาด
หญิงสาวขอตัวเข้าไปซื้อข้าวของสำหรับทำกับข้าวมื้อพิเศษ
ชายหนุ่มมีโอกาสอยู่กับลูกชายจึงขออุ้มเจ้าตัวน้อยอีกครั้งหนึ่ง
แต่ไม่สำเร็จ เท่านั้นยังไม่กระไร  พอเจ้าลูกชายเริ่มพูดบางสิ่ง
บางอย่างเขาจึงรู้สึกได้ถึงที่มาแห่งปฏิกิริยาอันผิดปกติ
"น้าไม่ใช่พ่อของหนู พ่อหนูมาหาแม่ทุกคืน พอแม่นั่งพ่อก็นั่ง
พอแม่ยืนพ่อก็ยืน..."  เพียงไม่กี่คำเท่านี้เอง
หัวใจของชายหนุ่มผู้เหนื่อยหนักมาจากสงครามอันแสนหฤโหด
ยาวนานก็พลันกระด้างยังกับแผ่นศิลา
สักพักหนึ่งพอหญิงสาวเดินกลับมาจากตลาด เธอก็พบว่า
ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เขาไม่เพียงแต่เปลี่ยนไป
เป็นคนละคน   หากหน้าเธอเข้าก็ไม่ปราย ตามองอีกต่อไป
เธอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

เย็นวันนั้น  อาหารที่เธอบรรจงทำอย่างสุดฝีมือเพื่อต้อนรับ
Photo Sharing and Video Hosting at Photobucketการกลับมาของเขาจืดสนิท  ทั้งคู่เข้านอนแต่หัวค่ำ
ต่างนอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืด
เธอถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นขณะที่เธอแวะไปซื้อของ
เขาถามว่าเธอยังเป็นผู้หญิงคนที่เขาสุดรักอย่างจับใจ
คนเดิมอยู่หรือเปล่าต่างคนต่างถามกันและกันในความมืด
ทว่าเป็นการถามที่เงียบงำจนวังเวง
เขาเย็นชากับเธอจากวันแรกจนถึงวันที่สาม ไม่มีการถามไถ่
ไม่มีการโอบกอดอันอบอุ่น ไม่มีการรับประทานอาหารร่วมกัน
อย่างเอร็ดอร่อย  ไม่มีแม้แต่การปรายตามองกันและกัน
อย่างเต็มสองตาฉันสามีหนุ่มภรรยาสาว
การณ์เป็นไปดังนั้นอยู่จนถึงเย็นวันที่สาม   แล้วความอดทน
ของเธอก็สิ้นสุดลง   เธอตัดสินใจลาจากความระทมทุกข์
ที่แม่น้ำสายหนึ่ง  ทิ้งปมปัญหาทุกอย่างไว้ ข้างหลังอย่างไม่ไยดี
เย็นวันนั้นเขารู้ข่าวการจากไปของเธอด้วยน้ำตานองทั้งสองแก้ม
เขาไปรับศพเธอมาบำเพ็ญกุศลอย่างเงียบๆ ในบ้านของตัวเอง
มีเพียงเจ้าหนูเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนเขาจนดึกดื่น
และคืนนี้ความลึกลับทั้งปวงก็ได้รับการคลี่คลาย
ตะเกียงน้ำมันก๊าดที่จุดไว้บนโลงค่อยๆหรี่ลงจวนเจียนจะดับ
เขาเติมน้ำมันแล้วจุดใหม่   เปลวไฟโชนแสงวูบวาบ  เขาลุกเดิน
กลับไปกลับมา  ขณะนั้นเอง...เงาของเขาทาบทอไปปรากฏยังฝาเรือน
เจ้าหนูชี้ไปที่เงาพลางตะโกนลั่น "นั่นไง พ่อหนูมาแล้ว
พอแม่นั่งพ่อก็นั่ง แม่ยืนพ่อก็ยืน คนนั้นแหละพ่อของหนู"

ชายหนุ่มมองตามเจ้าหนู เห็นเงาของตัวเองทาบทออยู่ที่ฝา
จึงเข้าใจขึ้นมาในนาทีนั้นเองว่า "พ่อ" ที่เจ้าหนูเอ่ยถึงก็คือ "เงา"
ที่เห็นอยู่นี่เอง ปริศนาทุกอย่างกระจ่างแล้ว
เธอ...คงรักเขามากสินะ ถึงขนาดสมมุติให้เงาตัวเองเป็นเขา
แล้วบอกเจ้าหนูว่าเงาก็คือตัวเขา คือ "พ่อ"ที่หายไปในสงคราม
โอ...ไม่น่าเลยความจริงนี้เจ็บปวดเกินไป เจ็บเกินกว่าหัวใจของ
คนธรรมดาจะรับไหว
....รุ่งขึ้นอีกวัน เขาชดใช้ความผิดพลาดอย่างมหันต์ของตัวเอง
ด้วยการให้แม่น้ำเป็นตุลาการผู้พิพากษาชีวิตเขาอีกชีวิตหนึ่ง...
เรื่องราวของเขาและเธอเป็นโศกนาฏกรรมแห่งความรัก
ที่เล่าขานกันมาอีกนาน เท่านาน
....วันนั้น หลังจากเจ้าหนูพูดถึง "พ่อ" ของตัวเองให้เขาฟัง
ที่กลางตลาด  หากเขา ไม่หุนหันพลันแล่น มีสติสักนิดหนึ่ง
Photo Sharing and Video Hosting at Photobucketถามไถ่จากเธอว่า "พ่อ"  คนที่เจ้าหนูพูดถึงคือใคร และหลังจาก
ที่เขาเย็นชา ปิดปากเงียบสนิท  หากเธอจะอาจหาญถามเขา
กลับไปว่ามันเกิดอะไรขึ้นเธอก็คงไม่ต้องเจ็บจนเกินเยียวยา
และเขาเองก็คงไม่ต้องจบชีวิตอย่างน่าอนาถเช่นนั้น
ไม่ใช่เธอไม่รักเขา และไม่ใช่เขาก็ไม่รักเธอ หากทั้งเธอและเขา
ต่างรัก ต่างภักดีต่อกันอย่างสุดซึ้ง ความรักของคนทั้งสอง
บริสุทธิ์ งดงามหมดจด จนกลายเป็นตำนานเล่าขานดังเรื่องราวของ
วีรบุรุษวีรสตรี  ผู้พิชิตความผิดพลาดหากจะพึงมีบนเส้นทาง
แห่งรักแท้จนกลายมาเป็นโศกนาฏกรรมของคนทั้งคู่  
เกิดจากเส้นบางๆของปราการแห่ง "ทิฐิ" โดยแท้  หากทั้งเธอและเขา
ยอมวาง "ทิฐิ" ลง แล้วหันหน้าเข้าหากันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย 
ถามไถ่จากกันและกัน  อย่างให้เกียรติกันทั้งสองฝ่ายไหนเลย
จะต้องมาจำพรากPhoto Sharing and Video Hosting at Photobucketทั้งที่ยังรักล้นใจเช่นนั้น
รักเอย รักนั้นงดงาม...........
บริสุทธิ์ อ่อนหวาน
ไม่ใช่ความผิดของความรักหรอกจะบอกให้
ผิดที่ใจอันมากด้วย "ทิฐิ" ของทั้งคู่นั่นต่างหาก
ปรารถนารักที่ยั่งยืนหมื่นปี
อย่าให้มี "ปราการแห่งทิฐิ"มากางกั้นแค่นั้นพอ ........

จากเรื่องราวที่นำมาฝากนี้น่าจะเป็นข้อเตือนใจ
สำหรับทุกครอบครัวที่กำลังอยู่ภายใต้
การครอบงำของ "ทิฐิ" 
จงหยุด...คิด...และใช้เหตุผล...ชีวิตครอบครัว
จะไม่พบกับคำว่า "แตกแยก  และเจ็บปวด" นะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การแนะแนวคืออะไร

               การแนะแนว  คือ   จิตวิทยาประยุกต์ แขนงหนึ่งที่ว่าด้วย กระบวนการพัฒนาคนให้รู้จักตนเอง อย่างถ่องแท้ รู้จัก ความถนัด ความชอบ สติปัญญา ภูมิหลังของตนเอง วิเคราะห์ตนเองได้ถูกต้อง รู้จักเลือกและตัดสินใจได้ ปรับตนเองได้อย่างเหมาะสมและสามารถดาเนินชีวิตได้อย่างเป็นสุขช่วยตนเอง หรือพึ่งตนเองได้ เป็นกระบวนการที่ส่งเสริมให้บุคคลได้มีบทบาทเต็มที่ในการเรียนรู้เพื่อที่จะพัฒนาศักยภาพและสามารถจัดการกับชีวิตของตนอย่างฉลาด การจัดประสบการณ์ในการเรียนรู้ที่จะพัฒนาศักยภาพนั้นต้องสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม ความพร้อมในการเรียนรู้ความถนัด ความสนใจและความต้องการของผู้เรียน

                                     การแนะแนวคืออะไรใครรู้บ้าง 
                                     คือแนวทางพัฒนาอย่าฉงน
  ที่มุ่งหมายให้เราเข้าใจตน
             รู้จักขวนขวายหาทางสร้างตนเอง
         การแนะแนวยังหมายให้เด็กนั้น
          แก้หรือกันปัญหาไซร้ได้ตรงเผง
       รู้จักโลกทุกสิ่งอันไม่หวั่นเกรง
                   ปรับตนเองอย่างฉลาดปราดเปรื่องเอย



จุดประสงค์ของการจัดบริการแนะแนวในโรงเรียน
1. เพื่อให้นักเรียนรู้จักและเข้าใจตนเองในทุกๆด้าน เช่น ความถนัด ความสามารถ ความสนใจ เพื่อนามาเป็นแนวทางในการศึกษาต่อและเลือกอาชีพได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมกับตนเอง 2. เพื่อให้นักเรียนรู้จักและเข้าใจบุคลอื่น ตลอดจนสามารถปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดีและดาเนินชีวิต อยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข
3. เพื่อให้นักเรียนสามารถวิเคราะห์ปัญหาและแก้ปัญหาของตนได้ด้วยวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม
4. การจัดกิจกรรมแนะแนว 1 คาบต่อสัปดาห์ จะทาให้ครูแนะแนวได้ใกล้ชิดเด็กและรู้จักเด็ก แต่ละคนได้ดียิ่งขึ้น เป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ต่าง ๆให้กับนักเรียน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ ต่อการให้คาปรึกษาและช่วยเหลือเด็กในด้านต่างๆได้
5. ในคาบแนะแนว นอกจะให้ความรู้ในด้านต่างๆที่เด็กสามารถนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์แล้ว ยังเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกในเรื่องที่ถูกต้อง โดยจัดกิจกรรมต่างๆให้เด็กได้มีส่วนร่วม และได้แสดงออกในทางที่เหมาะสม
6. ห้องแนะแนวจะเป็นแหล่งข้อมูล ให้ข่าวสาร ความรู้กับนักเรียนในด้านต่างๆ เช่น ข้อมูลในการศึกษาต่อ แนวทางการประกอบอาชีพ ข้อมูลในการปรับตัวของนักเรียนและ ในห้องแนะแนวจะมีห้องให้คาปรึกษาเพื่อบริการแก่นักเรียนที่ต้องการให้เป็นความลับ
7. เพื่อเป็นการช่วยเหลือนักเรียนตามแต่กรณี เช่น ทุนการศึกษา ทุนอาหารกลางวัน หางานพิเศษให้นักเรียนเพื่อช่วยเหลือในด้านเศรษฐกิจ สรรหาและส่งเสริมนักเรียนเรียนดี และมีความสามารถพิเศษ
8. เพื่อติดตามผล ประเมินผลนักเรียนทั้งที่กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนและที่จบการศึกษา และ ติดตามพฤติกรรมของนักเรียนเพื่อเป็นประโยชน์ในการพัฒนานักเรียน





บริการแนะแนวมี 3 ประเภท 1.แนะแนวด้านการเรียนหรือการศึกษา ซึ่งมีขอบข่ายงานตั้งแต่ การสร้างเจตคติที่ดีต่อการเรียน การฝึกทักษะหรือเทคนิคการเรียนที่มีประสิทธิภาพ การวางแผนการเรียนที่ดี การรู้ช่องทางการศึกษาและ การเลือกทางศึกษาต่อ ตลอดทั้งการสร้างนิสัยเรียนรู้ตลอดชีวิต
2. แนะแนวอาชีพ ซึ่งมีขอบข่ายงานตั้งแต่การสร้างเจตคติที่ดีต่อการทางาน และการประกอบอาชีพ การสร้างความตระหนัก รับรู้เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของโลกอาชีพ การสารวจอาชีพ การตัดสินใจและ วางแผนด้านอาชีพ การเตรียมตัวเพื่ออาชีพ การเข้าสู่อาชีพและการพัฒนาตนเองเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพ ตลอดทั้งการปรับตนในการทางาน
3.แนะแนวด้านชีวิตและสังคม ซึ่งมีขอบข่ายงานตั้งแต่การรู้จัก ตนเอง รู้จักชีวิตและสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การรู้จักตนเองและรู้คุณค่าของตน การรู้จักปรับตัวและแก้ปัญหา การพัฒนาตนเอง การฝึกทักษะชีวิตและทักษะทางสังคม เพื่อให้มีบุคลิกภาพ สุขภาพกาย สุขภาพจิตที่ดี


บริการหลักที่งานแนะแนวจัดให้นักเรียน มีดังต่อไปนี้
1.  บริการรวบรวมข้อมูลและศึกษานักเรียนเป็นรายบุคคล
     เป็นบริการที่จำเป็นพื้นฐานในการที่จะให้ความช่วยเหลือนักเรียนได้ถูกต้อง เพราะจะทำให้ได้ทราบปัญหา หรือข้อบกพร่องในตัวนักเรียน เพื่อดำเนินการแก้ไขได้ถูกต้องและนำข้อมูลที่ได้ศึกษามาเป็นองค์ประกอบในการจัดบริการ อื่น ๆ ต่อไป งานบริการด้านนี้ได้แก่
- บันทึกประวัตินักเรียนทุกคนไว้ในระเบียนสะสม
- บริการข้อมูลแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง
- ทดสอบความถนัด ความสนใจของนักเรียน
- สำรวจพฤติกรรมที่มีปัญหาของนักเรียน
2. บริการให้คำปรึกษา
    เป็นบริการที่นับว่าเป็นหัวใจสำคัญของงานแนะแนว โดยเฉพาะการเรียน การสอนตามหลักสูตรใหม่ และในสภาวะเศรษฐกิจและสังคมยุคปัจจุบัน งานบริการในด้านนี้ คือ
- ให้คำปรึกษานักเรียนที่มีปัญหาด้านส่วนตัว การเรียน และอาชีพ
- ศึกษาและหาทางช่วยให้นักเรียนแก้ปัญหาของตนเองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
- เสนอแนะแนวทางปฏิบัติตน เพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพ

3.  บริการสนเทศ
      เป็นบริการให้ความรู้แก่นักเรียนในหลายรูปแบบ เพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ รู้จักตัดสินใจ และวางแผนอนาคตอย่างฉลาด ได้แก่
- การจัดสอนให้ความรู้ต่าง ๆ ในคาบกิจกรรมแนะแนว
- การจัดป้ายนิเทศ
- การจัดทำเอกสารที่เป็นประโยชน์แก่นักเรียน
- การจัดอภิปราย บรรยาย ให้ความรู้ในด้านการศึกษาอาชีพ และการปรับตัวในสังคม
- การจัดวันอาชีพ
- การจัดสัปดาห์แนะแนวทางศึกษาต่อ
- การจัดฉายภาพยนต์ วีดีโอ สไลด์ที่เป็นประโยชน์ต่อนักเรียน
- การจัดบรรยายจากวิทยากรและนักศึกษารุ่นพี่ เพื่อให้ความรู้กับนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในด้านการปรับปรุงบุคลิกภาพ การวางตัว และการวางแผนการศึกษาต่อภายหลังจบการศึกษา
4. บริการจัดวางตัวบุคคล
     พิจารณานักเรียนเพื่อรับทุนการศึกษา และส่งเสริมผู้เรียนให้มีคุณภาพเหมาะสมตามความแตกต่างระหว่างบุคคล ค้นพบและพัฒนาศักยภาพของตนมีทักษะในการดำเนินชีวิต มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ ศีลธรรม จริยธรรม รู้จักเรียนรู้ในเชิงพหุปัญญา รู้จักคิด ตัดสินใจแก้ปัญหาในเชิงวิกฤต รวมทั้งดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข
5. บริการติดตามผล
การจัดกิจกรรมแนะแนวมีครูแนะแนวปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับอาจารย์ที่ปรึกษา และอาจารย์ฝ่ายต่างๆ เพื่อติดตามผล และให้บริการช่วยเหลือเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังนำเอาผลที่ได้มาปรับปรุงบริการแนะแนวต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้นและติดตามผลการศึการต่อ  ตลอดจนการดำเนินโครงการต่าง ๆ


 










 





               การแนะแนวเป็นกระบวนหนึ่งของการศึกษาที่จะพัฒนามนุษย์ให้เป็นพลเมืองดี มีความรู้ในทักษะกระบวนการต่าง ๆ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้และมีความสุขในการดารงชีวิต